28 ธ.ค. ลุ้นระทึกอีกรอบ คลื่นวิปโยคถล่มอ่าวไทย สัญญาณอันตรายวิกฤติโลก
จากกรณีมวลอากาศเย็นสัมผัสกับผิวน้ำทะเล จนทำให้เกิดคลื่นยักษ์กระทบชายฝั่ง ขนาดเท่าตึก 2 ชั้น ซัดถล่มทำลายพื้นที่ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยจนพังเสียหายยับเยิน จนทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งต้องอพยพย้ายถิ่นฐานหลบหนี
โดยคลื่นวิปโยคพัดถาโถมซัดถล่มชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออกจนราบคาบเป็นหน้ากลอง สร้างความแตกตื่นให้กับชาวบ้านที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมชายฝั่งทะเลอ่าวไทย เริ่มตั้งแต่ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ต้องอพยพขนย้ายข้าวของหนีคลื่นยักษ์กันอย่างโกลาหล ทั้งที่ตามปกติแล้ว จะคุ้นเคยกับคลื่นลมในทะเลเป็นอย่างดี จนทำให้บางพื้นที่ถึงขั้นประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ ต้องเร่งอพยพประชาชนนับพันไปยังพื้นที่ปลอดภัยอย่างเร่งด่วน
จึงทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า...เหตุใด...? คลื่นทะเล ถึงบ้าคลั่งและมีความรุนแรงได้ถึงเพียงนี้
อาจจะด้วยจากสภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยในพื้นที่ในภาคใต้ มีลักษณะเป็นปลายแหลมยื่นออกไประหว่างมหาสมุทรแปซิฟิก หรือ ทะเลจีนใต้ เรียกว่าฝั่งตะวันออก มีแนวชายทะเลติดกับอ่าวไทย ตั้งแต่ปากน้ำเจ้าพระยา ไปจนถึงเมืองโกตาบารู ประเทศมาเลเซีย ความยาวประมาณ 1,840 กิโลเมตร ส่วนอีกด้านเป็นฝั่งตะวันตกติดกับมหาสมุทรอินเดียหรือทะเลอันดามัน และทุก ๆ ปี ภาคใต้ของประเทศไทย จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุม 2 ชนิด อันเป็นเหตุปกติของพื้นที่ติดกับชายฝั่งทะเล คือลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่เกิดขึ้นระหว่าง เดือน พ.ค.-ต.ค. ของทุกปี โดยลมมรสุมที่ว่านี้จะส่งผลทำให้พื้นที่ภาคใต้ฝนตกชุกกับลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ จะเกิดขึ้นระหว่าง กลางเดือน ต.ค. ไปจนถึงเดือน ก.พ. เป็นมรสุมที่พัดเอามวลอากาศเย็นจากประเทศจีน และมองโกเลีย จะส่งผลทำให้ประเทศไทยตอนบน คือ ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศหนาวเย็น ส่วนในพื้นที่ภาคใต้ทะเลจะมีคลื่นลมแรง
ในวันที่ 14 ธ.ค. 49 กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศเตือนภัย ฉบับที่ 1 ให้พื้นที่ภาคใต้โดยเฉพาะฝั่งอ่าวไทยจะมีคลื่นลมแรงสูงถึง 2-4 เมตร พร้อมกับประกาศห้ามเรือเล็กออกจากฝั่ง จึงนับเป็นสัญญาณเตือน ประกาศให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย รับรู้ว่ากำลังเข้าสู่หน้ามรสุมแล้ว
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าการที่ต้องเผชิญกับลมมรสุมในปีนี้ จะเป็นการเผชิญกับความสูญเสีย เพราะแรงลมที่พัดกระหน่ำจากกลางทะเล จะทำให้เกิดคลื่นสูงกว่า 5 เมตร นับครั้งไม่ถ้วน ถาโถมเข้ากระหน่ำชายฝั่งอย่างบ้าคลั่งและต่อเนื่องยาวนานติดต่อกัน 4-5 วัน ทำให้แนวชายฝั่งตะวันออก ไล่ลงไป ตั้งแต่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี จนถึงนราธิวาส ต้องพังพินาศจากความบ้าคลั่งของคลื่นลมแรงในทะเลอ่าวไทย จนทุกจังหวัดต้องประกาศให้เป็นเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติ เพื่อให้สามารถป้องกันและรับมือสถาน การณ์ฉุกเฉินจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นตลอดเวลา และผลจากคลื่นลมทำให้บ้านเรือนราษฎร ถนนหนทาง ชายหาด ในจังหวัดที่ประสบภัยเสียหายยับเยิน ยังไม่สามารถประเมินค่าได้ แต่เบื้องต้นเชื่อว่า จะมีความเสียหายไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ยังไม่นับรวมการขาดรายได้ของประชาชนในพื้นที่ ระหว่างที่เจอกับภาวะคลื่นลมแรง เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและการประมง
การเกิดคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำชายฝั่งทะเลอ่าวไทยในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นข้อขบคิดให้นักวิชาการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่างพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุน ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เกิดความรุนแรงจากอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียง เหนือ โดยเหตุผลหนึ่งเชื่อว่า เกิดจากลมหนาวที่พัดติดต่อกันยาวนานอยู่กลางทะเล ทำให้ระยะสัมผัสระหว่างลมกับน้ำทะเลมีมาก และยิ่งช่วยผลักดันให้คลื่นเดินทางได้ไกลขึ้น และมีลักษณะคล้าย สึนามิ คือ หากอยู่กลางทะเลคลื่นจะไม่สูงมากนัก แต่เมื่อเข้าใกล้ฝั่งจะยิ่งทำให้คลื่นสูง และทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่า อาจจะมีความสูงถึง 10 เมตร นั้น อาจมีอันตรายน้อง ๆ คลื่นยักษ์สึนามิเลยทีเดียว
โดยคลื่นยักษ์ที่ว่านี้ นักวิชาการให้คำจำกัดความไว้ว่า เป็นคลื่นทะเลชนิดหนึ่ง ที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Swell น่าจะเกิดจากลมมรสุมฤดูหนาวที่พัดผ่านมาทางทิศเหนือตามลิ่มของมวลอากาศเย็น ที่ปกคลุมภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้นานต่อเนื่องกันหลายวัน และเมื่อคลื่นอยู่ในทะเลจะมีความสูงเพียง 1-2 เมตร แต่เมื่อเข้าสู่ที่ตื้นความเร็วจะชะลอตัวลง แต่จะให้คลื่นเพิ่มความสูงมากขึ้น จนกลายเป็นคลื่นยักษ์ถล่มเข้าชายฝั่ง แต่หากคลื่นยักษ์ที่ว่านี้ไปเกิดแถบชายฝั่งหาดไมอามี รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา จะไม่สร้างความเสียหาย และบรรดานักเล่นกระดานโต้คลื่น จะใช้ประโยชน์จากคลื่น ด้วยการออกมาเล่นกระดานโต้คลื่นกัน
ขณะที่นักวิชาการคาดการณ์กันด้วยว่า ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ในครั้งนี้ มาจากภาวะที่โลกร้อน ส่งผลให้ปริมาณน้ำทะเลสูงกว่าปกติ เมื่อปะทะกับมวลอากาศเย็นทำให้เกิดคลื่นลมแรงกว่าปกติ ประกอบกับทะเลอ่าวไทยแคบ ทำให้แนวคลื่นปะทะเข้าชายฝั่งอย่างรุนแรง และเชื่อว่าปัญหาโลกร้อน จะยิ่งสร้างปัญหาการกัด เซาะชายฝั่งที่รุนแรงมากขึ้นทุกปีอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันสภาวะสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป มีการสร้างเขื่อนกั้นคลื่น การตั้งบ้านเรือนอยู่ชายทะเล โดยไม่มีหน่วยงานควบคุมดูแล เพราะปกติชายฝั่งทะเลจะมีแนวกั้นคลื่น ที่สร้างโดยธรรมชาติ คือ ป่าโกงกาง แต่ถูกบุกรุกทำลาย และมีสิ่งก่อสร้างด้วยน้ำมือมนุษย์เข้าไปทดแทน จึงทำให้ดูเหมือนว่าวัฏจักรของธรรมชาติ คือ ผู้ทำลายล้าง ทั้งที่ความเป็นจริงความสูญเสียที่เกิดขึ้นเกิดมาจากน้ำมือมนุษย์
สำหรับการแจ้งเตือนภัยฉบับล่าสุดของกรมอุตุนิยมวิทยา ที่คาดการณ์เอาไว้ว่า ในวันที่ 28 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ จะเกิดคลื่นลมแรงอีกครั้ง และเชื่อว่าจะรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากมีภาวะน้ำทะเลหนุนสูงสุดในรอบปี เป็นการคาดการณ์ที่อาศัยการจำลองทางคณิตศาสตร์ และโอกาสที่จะเกิดขึ้นจริง มีมากกว่าร้อยละ 80 แม้ว่าการเกิดคลื่นยักษ์ในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย จะยังไม่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต แต่การเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในแหล่งท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ย่อมส่งผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะอันดับแรกที่ต้องคำนึงถึง คือ ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และไม่ต้องการให้ภัยทางธรรมชาติต้องกลับมาซ้ำเติมชาวภาคใต้อีกครั้ง
แต่ผู้คนทั่วไปมักจะคาดไม่ถึงกับภัยธรรมชาติรูปแบบใหม่ ที่มักจะเกิดขึ้นได้เสมอ ๆ ขนาดเพียงแค่คลื่นที่เกิดจากลมมรสุมฤดูหนาวตามธรรมชาติแบบธรรมดา ๆ ทั่วไป ยังก่อให้เกิดคลื่นซัดทำลายพื้นที่เลียบชายฝั่งจนราบคาบเสียหายยับเยิน แล้วถ้าเป็นคลื่นพายุฤดูฝนขนาดยักษ์ พัดถล่มชายฝั่งแล้ว จะมีสภาพเป็นอย่างไร... ?
ใกล้เวลาแล้วหรือ...? คลื่นยักษ์วิปโยค จะส่งสัญญาณอันตรายกลับมาทวงแผ่นดินคืนสู่ท้องทะเล...!!!
ที่มาจากหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์